อาการตัวเหลือง ตาเหลือง อาจดูเหมือนเพียงความผิดปกติเล็กน้อยของผิวหนังและดวงตา แต่นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคตับ โดยเฉพาะ “มะเร็งตับ” ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคร้ายที่พบมากที่สุดในประเทศไทย
จากข้อมูลของกรมการแพทย์ ระบุว่าในแต่ละปีมีผู้ป่วยมะเร็งตับรายใหม่กว่า 20,000 ราย และผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ยังอยู่ในอัตราที่สูง เนื่องจากผู้ป่วยมักไม่รู้ตัวตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม โดยสาเหตุของการเกิดมะเร็งเซลล์ตับ หลายคนอาจทราบเพียงว่าเกิดจากการดื่มเหล้า แต่ในความเป็นจริงนั้นยังมีสาเหตุอื่น ๆ อีก วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบกัน
ตาเหลืองเกิดจากอะไร ? ทำไมถึงเป็นสัญญาณของปัญหาตับ
หลายคนมักสงสัยว่าอาการตาเหลืองเกิดจากอะไร คำตอบคือ เกิดจากการสะสมของสารบิลิรูบิน (Bilirubin) สารสีเหลืองที่เป็นผลพลอยได้จากการสลายตัวของเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกาย ซึ่งปกติจะมีอายุประมาณ 120 วัน
โดยปกติ ตับจะทำหน้าที่กำจัดบิลิรูบินออกจากร่างกายผ่านทางน้ำดี แต่เมื่อเกิดความผิดปกติ เช่น ตับอักเสบเรื้อรัง ไขมันพอกตับ มะเร็งตับ หรือมะเร็งท่อน้ำดีตับ ตับจะไม่สามารถกำจัดสารนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการสะสมของบิลิรูบินในกระแสเลือด และส่งผลให้ผิวหนัง รวมถึงเยื่อบุตาขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ซึ่งเป็นที่มาของอาการตัวเหลือง ตาเหลืองนั่นเอง
มะเร็งตับมีกี่ชนิด ? พร้อมสาเหตุที่คนไทยควรรู้
มะเร็งตับที่พบมากในประเทศไทยมี 2 ชนิด ได้แก่
1. มะเร็งเซลล์ตับ (Hepatocellular Carcinoma)
เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของตับ เช่น การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี หรือภาวะไขมันพอกตับจากการรับประทานอาหารมันและของทอดมากเกินไป เมื่อเซลล์ตับถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง ร่างกายก็จะสร้างพังผืดขึ้นแทนที่เซลล์ตับ และก่อตัวเป็นมะเร็งตับในที่สุด
2. มะเร็งท่อน้ำดีตับ (Cholangiocarcinoma)
มักพบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ เกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับจากการกินปลาน้ำจืดดิบ การรับประทานอาหารที่มีดินประสิวหรือไนไตรต์ เช่น ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาส้ม แหนม ไส้กรอก รวมถึงการมีภาวะท่อน้ำดีอักเสบเรื้อรัง
อาการตัวเหลือง ตาเหลืองจากมะเร็งตับ เป็นอย่างไร ?
ผู้ป่วยแต่ละรายจะมีอาการแสดงที่แตกต่างกัน และบางรายในระยะแรกมักไม่ค่อยแสดงอาการ แต่โดยทั่วไปจะมีวิธีการสังเกตอาการเบื้องต้น ดังนี้
- ผิวหนังและตาขาวมีสีเหลืองเข้มขึ้นเรื่อย ๆ
- ปัสสาวะสีเข้ม และอุจจาระสีซีด
- จุกเสียดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด หรือปวดชายโครงขวา
- อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
- อาจคลำพบก้อนที่ช่องท้อง หรือท้องโตขึ้นผิดปกติ
- มีอาการบวมบริเวณขาทั้ง 2 ข้าง
- อาจมีอาการคันตามผิวหนัง เนื่องจากน้ำดีคั่งในร่างกาย
หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคตับระยะเริ่มต้นหรือโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งตับ
แนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะตัวเหลือง ตาเหลือง
นอกจากนี้ อาการตาเหลืองอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น ภาวะโลหิตจาง หรือปัญหาท่อน้ำดีอุดตัน ซึ่งการดูแลตับให้แข็งแรงอยู่เสมอก็ถือเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันอาการข้างต้น โดยสามารถทำได้ดังนี้
- ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีตั้งแต่เด็ก
- หลีกเลี่ยงการรับประทานปลาน้ำจืดดิบหรือหมักดอง
- ลดการดื่มแอลกอฮอล์และการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
- รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ เน้นผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง เช่น อาหารที่อาจปนเปื้อนสารอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) อาหารที่มีดินประสิว หรืออาหารหมักดอง
- ตรวจสุขภาพตับเป็นประจำทุกปี
- รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยบำรุงตับ
เสริมการทำงานของตับให้แข็งแรง ด้วยสารสกัดธรรมชาติจาก Livplus
เมื่อเข้าใจแล้วว่าอาการตาเหลืองเกิดจากอะไร อีกเรื่องที่ควรตระหนักคือ นี่อาจเป็นเพียงสัญญาณเริ่มต้นของความผิดปกติในร่างกายเท่านั้น หากปล่อยไว้โดยไม่ตรวจวินิจฉัย อาจลุกลามจนกลายเป็นมะเร็งตับหรือโรคตับเรื้อรังได้
เพื่อป้องกันความเสื่อมของตับและลดความเสี่ยงของโรคร้ายในระยะยาว การดูแลตับด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงตับ Livplus ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเสริมสุขภาพตับให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลิตภัณฑ์ของเราอุดมด้วยสารสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติกว่า 12 ชนิด เช่น ชิแซนดร้า อาร์ติโชค ขมิ้นชัน มิลค์ทิสเทิล ฯลฯ ซึ่งมีสรรพคุณช่วยฟื้นฟูและบำรุงเซลล์ตับ กระตุ้นการขับสารพิษออกจากร่างกาย ลดความเสี่ยงภาวะไขมันพอกตับ และส่งเสริมการทำงานของตับให้กลับมาสมดุล ไม่มีสารตกค้าง ปลอดภัยต่อร่างกาย เหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพตับอย่างต่อเนื่อง
ติดต่อสอบถามหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเรื่องตับฟรี ! โทร. 098-264-2464 หรือ LINE: @livplusthailand
ข้อมูลอ้างอิง
- ตาเหลือง-ตัวเหลือง สัญญาณเสี่ยงมะเร็งตับ จริงหรือ. สืบค้นเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 จาก https://www.hfocus.org/content/2020/10/20328.
- หมอเตือน “ตาเหลือง-ตัวเหลือง” สัญญาณเสี่ยงมะเร็งตับ. สืบค้นเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 จาก https://news.thaipbs.or.th/content/297344.
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการตาเหลือง ตัวเหลือง
ตาเหลืองเกิดจากอะไรได้อีกบ้าง นอกจากโรคตับ ?
อาการตาเหลืองไม่ได้เกิดจากโรคตับเสมอไป แต่สามารถเกิดจากภาวะโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตกง่าย (Hemolytic Anemia) ท่อน้ำดีอุดตัน นิ่วในถุงน้ำดี หรือแม้แต่การใช้ยาบางชนิดที่มีผลต่อตับ เช่น ยาปฏิชีวนะบางกลุ่มและยาลดไขมันบางประเภท
ตาเหลืองจากตับอักเสบสามารถหายเองได้ไหม ?
หากอาการตาเหลืองเกิดจากไวรัสตับอักเสบเฉียบพลัน อาการอาจดีขึ้นได้เมื่อร่างกายฟื้นตัว แต่ในกรณี ตับอักเสบเรื้อรัง หรือตับถูกทำลายต่อเนื่อง อาการจะไม่หายเอง และอาจพัฒนาไปสู่ภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตร่วมด้วย
หากเริ่มมีอาการตาเหลือง ควรตรวจอะไรบ้าง ?
การตรวจพื้นฐานที่ช่วยวินิจฉัยภาวะตาเหลือง ได้แก่
- การตรวจการทำงานของตับ (LFTs – Liver Function Test) เพื่อดูระดับเอนไซม์และบิลิรูบิน
- การอัลตราซาวนด์ช่องท้อง เพื่อตรวจดูตับและท่อน้ำดี
- การตรวจเลือดหาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี
และในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจ MRI หรือ CT Scan เพิ่มเติม เพื่อประเมินความผิดปกติของเนื้อตับและท่อน้ำดีอย่างละเอียด