โรคตับ ถือเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพเรื้อรังที่กำลังคุกคามคนไทยในปัจจุบัน ยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พบว่าอัตราการเสียชีวิตจากโรคเกี่ยวกับตับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะ “ค่าตับสูง” ทั้งยังมักไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่กลับเป็นสัญญาณของภัยเงียบที่บ่งชี้ว่า “ตับ” ของคุณอาจกำลังมีปัญหาและต้องการการดูแลอย่างเร่งด่วน
โรคตับคืออะไร ?
โรคตับ เป็นกลุ่มของโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติในการทำงานของตับ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะร้ายแรงต่าง ๆ เช่น อาการตับอักเสบ ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ
โรคตับหลายประเภทเกิดจากปัจจัยที่สามารถป้องกันได้ เช่น พฤติกรรมเสี่ยง การติดเชื้อ หรือภาวะแทรกซ้อนจากโรคเรื้อรังอื่น ๆ เช่น เบาหวานและไขมันพอกตับ สิ่งที่ทำให้โรคตับน่ากลัวคือ “มักไม่มีอาการในช่วงแรก” ผู้ป่วยจึงมักไม่รู้ตัว และเมื่อเริ่มมีอาการชัดเจน เช่น อ่อนเพลีย ตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องมาน มักเป็นช่วงที่โรคลุกลามและตับเสียหายไปมากแล้ว ซึ่งยากต่อการรักษา
ค่าตับสูงคืออะไร ?
คำว่า “ค่าตับสูง” หมายถึงระดับเอนไซม์ในตับ เช่น AST (Aspartate Aminotransferase) และ ALT (Alanine Aminotransferase) ที่เพิ่มสูงกว่าค่ามาตรฐาน โดยเอนไซม์เหล่านี้มักจะถูกปล่อยออกมาในกระแสเลือดเมื่อเซลล์ตับเกิดการบาดเจ็บหรืออักเสบ การมีค่าตับสูงจึงเป็นสัญญาณเตือนว่าตับกำลังมีปัญหา หรือทำงานหนักเกินไป
ปัจจัยที่ทำให้ค่าตับสูงมีหลายสาเหตุ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารไขมันสูง รวมถึงการใช้ยาหรือสมุนไพรบางชนิดโดยไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ตับทำงานหนักขึ้น ไปจนถึงภาวะไขมันพอกตับ หรือพฤติกรรมการกินอาหารที่เป็นอันตรายต่อตับ
ค่าตับดูอย่างไร ?
ค่าตับสามารถดูได้จากการตรวจสุขภาพประจำปี ด้วยวิธีการเจาะเลือดเพื่อวัดค่าการทำงานของตับที่เรียกว่า Liver Function Test (LFT) โดยแพทย์จะวิเคราะห์จากค่าเหล่านี้ร่วมกับอาการอื่น ๆ เพื่อวินิจฉัยภาวะโรคตับ
ค่าตับไม่ควรเกินเท่าไร ?
ค่าปกติของเอนไซม์ตับจะแตกต่างกันเล็กน้อยตามเพศ และการตรวจของห้องปฏิบัติการ ซึ่งโดยทั่วไป มีดังนี้
ค่าตรวจ | ค่าปกติ (ผู้ชาย) | ค่าปกติ (ผู้หญิง) |
|---|---|---|
AST (SGOT)
| ไม่เกิน 40 U/L
| ไม่เกิน 32 U/L
|
ALT (SGPT)
| ไม่เกิน 41 U/L
| ไม่เกิน 33 U/L
|
ALP
| 40-130 U/L | 35-105 U/L |
Total Bilirubin
| 0.3-1.2 mg/dL | 0.3-1.2 mg/dL |
ระดับความรุนแรงของค่าตับสูง
- เพิ่มขึ้นเล็กน้อย (1-2 เท่าของค่าปกติ) อาจเกิดจากไขมันพอกตับ การใช้ยา หรือการดื่มแอลกอฮอล์เล็กน้อย
- เพิ่มขึ้นปานกลาง (2-5 เท่าของค่าปกติ) อาจเป็นตับอักเสบจากเชื้อไวรัส หรือการใช้ยาที่มีผลต่อตับ
- เพิ่มขึ้นสูงมาก (มากกว่า 5 เท่าของค่าปกติ) อาจเป็นตับอักเสบเฉียบพลัน ตับวาย หรือความเสียหายของตับอย่างรุนแรง
หมายเหตุสำคัญ: แม้ค่าตับจะอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ถ้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละครั้งที่ตรวจ ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
สาเหตุสำคัญที่ทำให้อัตราการเสียชีวิตจากโรคตับเพิ่มขึ้น
การที่อัตราการเสียชีวิตจากโรคตับสูงขึ้นอย่างน่าตกใจนั้น มีสาเหตุหลายประการที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิต และการเข้าถึงการรักษา โดยที่พบได้หลัก ๆ มีดังนี้
1. ค่าตับสูง สัญญาณเตือนล่วงหน้าของโรคตับ
ผู้ที่มีค่าตับสูงมักไม่รู้ตัว เพราะร่างกายยังไม่แสดงอาการ แต่ในความเป็นจริง ตับอาจเริ่มเกิดความเสียหายแล้ว การตรวจเลือดเป็นวิธีเดียวที่สามารถรู้ได้ว่าค่าตับสูงหรือไม่
2. การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B และ C
ไวรัสเหล่านี้เป็นสาเหตุหลักของ โรคตับเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
3. พฤติกรรมที่ทำร้ายตับโดยไม่รู้ตัว
การใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสมเป็นตัวเร่งสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงของโรคตับ ซึ่งรวมถึงพฤติกรรมเหล่านี้
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นประจำและในปริมาณมาก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคตับจากแอลกอฮอล์
- การบริโภคอาหารไขมันสูงและน้ำตาลสูง ทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (NAFLD) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคตับในปัจจุบัน
- การกินอาหารปิ้งย่างไหม้เกรียม หรืออาหารที่มีการปนเปื้อนสารพิษ เช่น เชื้อราอะฟลาท็อกซิน
- การใช้ยาเกินขนาด หรือใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมถึงใช้สมุนไพรบางชนิดโดยขาดการควบคุม ซึ่งอาจส่งผลให้ตับทำงานหนักและเกิดการอักเสบ
4. ตรวจพบโรคช้า
เนื่องจากโรคตับมักไม่มีอาการในช่วงเริ่มต้น ผู้ป่วยจำนวนมากจึงเข้ารับการรักษาในระยะที่ตับเสียหายไปมากแล้ว เช่น ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ ซึ่งทำให้การรักษามีประสิทธิภาพลดลง ทั้งยังต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง และเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงขึ้นมาก
วิธีป้องกันโรคตับ และลดความเสี่ยงค่าตับสูง
การป้องกันโรคตับสามารถเริ่มได้ตั้งแต่วันนี้ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ดังนี้
- ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะตรวจวัดค่าการทำงานของตับ (AST, ALT) และตรวจหาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เพื่อค้นหาความผิดปกติตั้งแต่เนิ่น ๆ
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือดื่มในปริมาณที่จำกัด และไม่ใช้ยาหรือสมุนไพรเกินขนาดโดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
- รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ B โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ควบคู่ไปกับการปรึกษาแพทย์เกี่ยวถึงการตรวจและรักษาไวรัสตับอักเสบ C
- เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผลไม้ ธัญพืช ลดอาหารไขมันสูง น้ำตาลสูง และหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจมีสารพิษหรือเชื้อรา
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ เพื่อป้องกันและจัดการภาวะไขมันพอกตับ
ค่าตับสูง อาจนำคุณสู่โรคตับเรื้อรังโดยไม่รู้ตัว
ค่าตับสูง เป็นสัญญาณที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจหมายถึงจุดเริ่มต้นของความผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้นกับตับของคุณ ไม่ว่าจะเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง หรือแม้แต่มะเร็งตับ การตรวจสุขภาพเป็นประจำ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม สามารถช่วยให้คุณป้องกันโรคร้ายได้ก่อนที่จะสายเกินไป
เริ่มดูแลสุขภาพตับของคุณตั้งแต่วันนี้ เพราะค่าตับสูง อาจหมายถึงภัยเงียบที่กำลังคืบคลานเข้ามาโดยไม่รู้ตัว
หากคุณกำลังมองหาตัวช่วยในการบำรุงตับอย่างปลอดภัย ขอแนะนำ Livplus อาหารเสริมบำรุงตับจากสารสกัดธรรมชาติ 100% ช่วยลดภาวะค่าตับสูง ฟื้นฟูตับ ทำให้ร่างกายกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 098-264-2464 หรือทักหาเราได้ที่ Facebook: Livplusthailand หรือ Line OA: @Livplusthailand
ข้อมูลอ้างอิง
- ค่าตับคืออะไร ค่าตับสูงแค่ไหนผิดปกติ ใครเป็นกลุ่มเสี่ยงควรตรวจค่าตับ. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 จาก https://hdmall.co.th/blog/health/common-liver-blood-tests-screening-process/
- ค่าตับดูอย่างไร ??. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 จาก https://www.chularat3inter.com/th/contents/how-to-look-at-liver-values
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการค่าตับสูง
ทำไมผู้ชายถึงเสี่ยงโรคตับมากกว่าผู้หญิง ?
ผู้ชายมีอัตราการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่สูงกว่าผู้หญิง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคตับ นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่จะละเลยการตรวจสุขภาพ ทำให้โรคตับมักถูกพบในระยะที่รุนแรงแล้ว
ค่าตับสูงเกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัวหรือไม่ ?
เกี่ยวข้องโดยตรง โดยเฉพาะในกรณีของ “ไขมันพอกตับ” ที่เกิดจากภาวะอ้วนหรือเมตาบอลิซึมผิดปกติ ซึ่งจะส่งผลให้เอนไซม์ตับสูงขึ้นได้โดยไม่มีอาการชัดเจน
ผู้ที่ไม่มีอาการจำเป็นต้องตรวจค่าตับหรือไม่ ?
ควรตรวจ เพราะโรคตับส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการในช่วงแรก การตรวจเลือดเพื่อวัดค่าตับ (LFT) เป็นการเฝ้าระวังที่สำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคตับ
ค่าตับสูงมีผลต่ออวัยวะอื่นหรือไม่ ?
มี หากตับทำงานได้ไม่เต็มที่ จะส่งผลต่อการย่อยไขมัน การล้างสารพิษ และระบบภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้อวัยวะอื่น ๆ เช่น ไต หัวใจ หรือระบบประสาท เริ่มได้รับผลกระทบตามมา