ด้วยลักษณะการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ที่ต้องเจอกับความเร่งรีบ ความเครียด ทำให้ยากต่อการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหัว ปวดเมื่อย น้ำมูกไหล ไอ จาม หรือเป็นหวัด ซึ่งหลายคนเลือกที่จะกินยาสามัญประจำบ้านเพื่อช่วยบรรเทาอาการให้หายไป แต่รู้หรือไม่ว่า การกินยาโดยขาดความเข้าใจและไม่ถูกวิธีอาจนำมาซึ่งผลเสียที่เป็นอันตรายต่อตับได้
ดังนั้น เพื่อช่วยให้ตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ยาสามัญประจำบ้านอย่างถูกวิธี เราจะมาสร้างความเข้าใจในเรื่อง หากกินยาเยอะจะส่งผลเสียต่อตับอย่างไรบ้าง ? พร้อมแนวทางป้องกันมาแนะนำ
ยาสามัญประจำบ้านที่มีผลต่อตับหากใช้ไม่ถูกวิธี
ถึงแม้ว่ายาสามัญประจำบ้านจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยเบื้องต้นได้ แต่หากใช้ไม่ถูกวิธีหรือขาดความระมัดระวัง ก็อาจเป็นอันตรายต่อตับได้โดยไม่รู้ตัว โดยยาที่ควรกินเท่าที่จำเป็นภายใต้คำแนะนำของแพทย์ มีดังนี้
พาราเซตามอล
ยาชนิดนี้นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเพื่อการลดไข้หรือบรรเทาอาการปวด แต่หากกินในปริมาณที่มากเกินไป หรือกินติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้ตับทำงานหนักขึ้นในการกำจัดยา และอาจนำไปสู่ภาวะตับอักเสบหรือตับวายเฉียบพลันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่เป็นโรคตับอยู่แล้ว หรือผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
ยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs
ยาสามัญประจำบ้านอีกหนึ่งชนิดที่หลายคนมักเลือกใช้บรรเทาอาการเจ็บป่วย คือ ไอบูโพรเฟน ไดโคลฟีแนค ซึ่งเป็นยาที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบและลดอาการปวดได้ดี แต่ก็มีผลข้างเคียงต่อตับได้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อใช้ในปริมาณสูง หรือใช้ร่วมกับยาชนิดอื่น ๆ ที่มีผลต่อตับ
ยารักษาโรคภูมิแพ้ในกลุ่มยาสเตียรอยด์
ยากลุ่มนี้หากใช้ติดต่อกันนานเกินไป อาจรบกวนการเผาผลาญของตับและทำให้ตับอ่อนแอลง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาตับอยู่แล้ว
ยาสมุนไพร
แม้จะผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ แต่ยาสมุนไพรบางชนิด เช่น ขี้เหล็ก หรือบอระเพ็ด ก็เป็นอันตรายต่อร่างกายได้เช่นกัน หากใช้ในปริมาณมากและต่อเนื่องโดยไม่มีการรับรองจากแพทย์หรือเภสัชกร ส่งผลทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรังได้
สัญญาณเตือนว่าตับกำลังมีปัญหาจากการใช้ยาไม่ถูกวิธี
หากกินพาราเยอะ บวกกับยาสามัญประจำบ้านอื่น ๆ มากเกินไป ผลเสียที่เป็นเสมือนสัญญาณอันตรายที่ควรเฝ้าระวังมีดังนี้
- รู้สึกอ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ เหนื่อยล้าผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของความผิดปกติในการทำงานของตับ
- เจ็บใต้ชายโครงขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ หากมีอาการปวดหรือแน่น อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตับ
- ตัวเหลือง ตาเหลือง เป็นอาการที่ชัดเจนว่ามีภาวะดีซ่าน ซึ่งเกิดจากระดับบิลิรูบินในเลือดสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากการทำงานของตับที่ผิดปกติ
- คลื่นไส้ อาเจียน หรือเบื่ออาหาร อาการเหล่านี้อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ก็สามารถเป็นสัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับตับได้เช่นกัน
- ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ อาจบ่งชี้ถึงความผิดปกติในการกำจัดของเสียของตับ
เมื่อมีอาการเหล่านี้ ควรหยุดกินยาต้องสงสัยและรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและเข้ารับการรักษาต่อไป
ข้อแนะนำการใช้ยาสามัญประจำบ้านอย่างปลอดภัย
เพื่อหลีกเลี่ยงการกินยาเยอะจนเกิดผลข้างเคียงตับ มีข้อควรปฏิบัติในการใช้ยาดังต่อไปนี้
- ปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อยามากิน
- ใช้ตามขนาดและระยะเวลาที่กำหนดในฉลาก
- หากมีโรคตับหรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
- ไม่ใช้ยาหลากหลายชนิดที่มีส่วนผสมเดียวกัน
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาติดต่อกันเกิน 5-7 วันโดยไม่จำเป็น
นอกจากการหลีกเลี่ยงการกินยาเยอะที่ส่งผลข้างเคียงต่อตับแล้ว ยังสามารถดูแลตับได้ด้วยตัวช่วยสำคัญอย่างอาหารเสริมบำรุงตับ Livplus ที่ผลิตจากสารสกัดธรรมชาติ 100% ซึ่งพัฒนาขึ้นจากการวิจัยเพื่อช่วยฟื้นฟูการทำงานของตับ เริ่มดูแลสุขภาพตับของคุณได้แล้วตั้งแต่วันนี้ สามารถสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ได้ที่หน้าเว็บไซต์ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Livplusthailand หรือ Line OA: @Livplusthailand
ข้อมูลอ้างอิง
- กินยาพาราอย่างไร ? ไม่ทำร้าย “ตับ”. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 จาก https://www.princsuvarnabhumi.com/articles/Eat-paracetamol-without-destroying-the-liver
- กินยาเยอะ เสี่ยงมะเร็งตับหรือเปล่า?. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 จาก https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/medications-effect-liver