หากเริ่มมีอาการผิดปกติกับระบบย่อยอาหาร เช่น แน่นท้อง จุกเสียด อาหารไม่ย่อย หลังรับประทานเพียงเล็กน้อย อย่ามองข้ามอาการเหล่านี้โดยเด็ดขาด เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังมีภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่ดูแล อาจนำไปสู่อาการโรคตับในระยะเริ่มแรก จนทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง หรือลุกลามถึงขั้นเป็นมะเร็งตับโดยไม่รู้ตัว
ไขมันพอกตับคืออะไร ?
ไขมันพอกตับ (Fatty Liver) คือภัยเงียบที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด โดยเป็นภาวะที่ไขมันซึ่งร่างกายไม่สามารถเผาผลาญออกได้หมด และจะไปสะสมอยู่ภายในเซลล์ตับมากถึง 5-10% ของน้ำหนักตับ จนกลายเป็นไขมันพอกตับ ซึ่งในระยะแรกมักไม่แสดงอาการชัดเจน แต่ระบบที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ระบบย่อยอาหารและการเผาผลาญไขมัน
เมื่อมีไขมันสะสมในตับปริมาณมาก ตับจะทำงานได้ลดลง โดยเฉพาะหน้าที่ในการผลิต “น้ำดี” ที่ใช้ในการย่อยไขมัน ส่งผลให้รู้สึกแน่นท้อง จุกเสียด หรืออาหารไม่ย่อย อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นหลังรับประทานอาหารที่มีไขมัน แม้ในปริมาณเพียงเล็กน้อย
สาเหตุของไขมันพอกตับ
ปัจจัยที่ทำให้เกิดไขมันพอกตับ ล้วนเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวและอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา เช่น
- รับประทานของมัน ของทอด ปิ้งย่าง ของหวาน ชา กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นประจำ
- ขาดการออกกำลังกาย ส่งผลให้พลังงานสะสมในรูปของไขมัน
- สูบบุหรี่ ทำให้ร่างกายอักเสบเรื้อรังและส่งผลต่อตับ
- น้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน
- ใช้ยาบางชนิดต่อเนื่อง เช่น ยาแก้อักเสบ ยาแก้ปวดบางประเภท
อาการที่เป็นสัญญาณของไขมันพอกตับ
แม้ไขมันพอกตับจะเป็นภัยเงียบ แต่หากสังเกตให้ดี จะพบอาการเตือนที่ไม่ควรละเลย เช่น
- แน่นท้อง จุกเสียดเกิดจากอาหารไม่ย่อย
- รู้สึกอึดอัดหลังรับประทานอาหาร แม้จะทานไม่มาก
- อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดผิดปกติ
- คลื่นไส้ อาหารไม่ย่อย ซึ่งเกิดจากการผลิตน้ำดีที่ลดลง
- ปวดหรือเจ็บใต้ชายโครงขวา เป็นสัญญาณว่าตับเริ่มขยายหรืออักเสบ
ผลกระทบจากภาวะไขมันพอกตับ
เนื่องจากตับมีหน้าที่ผลิตน้ำดี เพื่อช่วยในการย่อยไขมัน และวิตามินบางชนิด ดังนั้นเมื่อเกิดไขมันพอกตับ จึงทำให้ผลิตน้ำดีได้น้อยลง ระบบการย่อยอาหารเสียสมดุล และย่อยอาหารได้น้อย อาหารจึงตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร หากรับประทานอาหารเพิ่มเข้าไปก็จะรู้สึกแน่นท้อง จุกท้อง อึดอัดเหมือนอาหารไม่ย่อย
วิธีลดความเสี่ยงการเกิดไขมันพอกตับ
หากต้องการดูแลตับและลดโอกาสเกิดไขมันพอกตับ สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และดูแลตนเองด้วยการใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้
- หลีกเลี่ยงของมัน ของทอด อาหารแปรรูป และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- เลือกรับประทานผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสี เพิ่มไฟเบอร์ให้ร่างกาย
- ดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว เพื่อช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกาย
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที
- หลีกเลี่ยงความเครียดและนอนหลับให้เพียงพอ
แนวทางการรักษาหาเป็นไขมันพอกตับ
ในกรณีที่ตรวจพบว่าเป็นไขมันพอกตับในระยะแรก สามารถดูแลและฟื้นฟูได้ด้วยแนวทางต่อไปนี้
- ปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม และติดตามค่าการทำงานของตับ (LFT)
- ปรับอาหารและพฤติกรรมตามคำแนะนำแพทย์
- ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยบำรุงตับ อย่างเหมาะสมร่วมกับการควบคุมอาหาร
“Livplus” บำรุงตับด้วยตัวช่วยดี ๆ สำหรับคนที่แน่นท้อง จุกเสียด อาหารไม่ย่อย จากโรคตับ
สำหรับผู้ที่มีอาการจุกท้อง แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย เพราะไขมันพอกตับ เลือก Livplus เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงตับ ที่มีสารสกัดจากสมุนไพรที่ดีต่อตับกว่า 12 ชนิด เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับ โดยสมุนไพรใน Livplus เช่น สารสกัดของแดนดิไลออน จะช่วยเข้าไปกระตุ้นการผลิตน้ำดีในตับ เพิ่มการไหลเวียนของน้ำดี เพื่อให้ระบบย่อยอาหารกลับมาย่อยอาหารประเภทไขมันได้ดีขึ้น จึงทำให้หายอืดท้อง หายแน่นท้อง และกลับมารับประทานอาหารและใช้ชีวิตได้ปกติอีกครั้ง
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 098-264-2464 หรือทักหาเราได้ที่ Facebook: Livplusthailand หรือ Line OA: @Livplusthailand
ข้อมูลอ้างอิง
- ภาวะไขมันพอกตับ โรคที่มากับความอ้วน. สืบค้นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 จาก https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/infographic/ภาวะไขมันพอกตับ-โรคที่ม/
- ไขมันพอกตับ ภัยร้ายกลายเป็นมะเร็งตับ. สืบค้นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 จาก https://www.med.cmu.ac.th/web/suandok/article-suandok/11317/
- ไขมันพอกตับ ภัยเงียบ รู้ไว รักษาทัน ป้องกันได้. สืบค้นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 จาก https://hdmall.co.th/blog/hdcare/fatty-liver-disease/
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะไขมันพอกตับ
ภาวะไขมันพอกตับจัดเป็นโรคที่อันตรายหรือไม่ และควรเริ่มกังวลเมื่อใด ?
จัดเป็นภาวะที่ไม่ควรละเลย เนื่องจากหากปล่อยไว้โดยไม่มีการดูแล อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น เช่น ตับอักเสบเรื้อรัง ไปจนถึงมะเร็งตับได้ การเริ่มมีอาการผิดปกติกับระบบย่อยอาหาร เช่น แน่นท้อง จุกเสียด หลังรับประทานอาหารเล็กน้อย ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ควรเริ่มใส่ใจและปรึกษาแพทย์
ไขมันพอกตับแตกต่างจากภาวะไขมันในเลือดสูงอย่างไร ?
ไขมันพอกตับ คือภาวะที่มีไขมันสะสมอยู่ในเซลล์ตับมากเกินไป (เกิน 5-10% ของน้ำหนักตับ) ในขณะที่ไขมันในเลือดสูง คือระดับไขมัน (เช่น คอเลสเตอรอล, ไตรกลีเซอไรด์) ที่มีปริมาณสูงเกินเกณฑ์ในกระแสเลือด แม้จะมีสาเหตุร่วมกันได้ แต่เป็นภาวะที่เกิดขึ้นในอวัยวะและระบบที่แตกต่างกัน
ภาวะไขมันพอกตับสามารถหายขาดได้หรือไม่ ?
ในระยะแรก หากตรวจพบและยังไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง สามารถฟื้นฟูและทำให้ดีขึ้นได้ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งด้านอาหารและการออกกำลังกาย รวมถึงการปรึกษาแพทย์เพื่อรับแนวทางการดูแลที่เหมาะสม
เราควรเริ่มทำอย่างไร หากสงสัยว่าตัวเองมีภาวะไขมันพอกตับ ?
ขั้นตอนแรก คือการปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม ซึ่งอาจรวมถึงการตรวจเลือดเพื่อดูค่าการทำงานของตับ (LFT) และการตรวจอื่น ๆ เพื่อยืนยันภาวะและประเมินระดับความรุนแรง ก่อนจะได้รับคำแนะนำในการปรับอาหารและพฤติกรรมอย่างถูกต้องต่อไป