ตับเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการกำจัดสารพิษ และถึงแม้ว่า ‘ตับ’จะเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักตลอด 24 ชั่วโมง แต่หลายคนกลับละเลย จนกระทั่งเกิดปัญหาสุขภาพรุนแรง จากการทำงานของตับที่ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นการบำรุงตับด้วยวิตามินที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรให้ความสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยบำรุงให้ตับแข็งแรงแล้ว ยังเป็นการใส่ใจสุขภาพก่อนที่จะสายเกินไปด้วย
ตับและความสำคัญต่อร่างกาย
ตับเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่หลายอย่าง โดยหนึ่งในหน้าที่สำคัญของตับก็คือ การกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้สิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายถูกเปลี่ยนเป็นสารที่ไม่เป็นอันตรายและขับออกไปได้
นอกจากนี้ ตับยังมีบทบาทสำคัญอีกหลายประการ เช่น
- ผลิตน้ำดีซึ่งเป็นสารสำคัญในการย่อยไขมัน ช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันได้ดีขึ้น
- สร้างโปรตีนที่จำเป็น เช่น โปรตีนที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด
- เป็นแหล่งเก็บสารอาหารสำคัญ เช่น กลูโคส วิตามิน และเหล็ก
- มีบทบาทสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- กำจัดเชื้อโรคที่เข้าสู่กระแสเลือด
- สร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อ
ด้วยความสำคัญมากมายเหล่านี้ การดูแลตับจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อสุขภาพโดยรวมของเรา
สัญญาณเตือนว่าตับอาจต้องการการบำรุง
ร่างกายมักส่งสัญญาณเตือนเมื่อตับเริ่มมีปัญหา แต่หลายคนมักไม่ทราบว่าอาการเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสุขภาพตับ โดยสัญญาณเตือนที่สามารถสังเกตได้มีดังนี้
- อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เป็นสัญญาณเตือนที่พบบ่อย เนื่องจากตับที่ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพจะส่งผลต่อระดับพลังงานในร่างกาย
- ผิวและตามีสีเหลืองผิดปกติ บ่งบอกถึงภาวะดีซ่าน ซึ่งเกิดจากตับไม่สามารถกำจัดบิลิรูบินได้ตามปกติ
- ท้องอืด แน่นท้อง ระบบย่อยอาหารผิดปกติ อาจเกี่ยวข้องกับการทำงานของตับที่ลดลง โดยเฉพาะหากมีอาการหลังรับประทานอาหารมัน
- มีรอยช้ำง่ายหรือเลือดออกผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณว่าตับไม่สามารถผลิตโปรตีนสำหรับการแข็งตัวของเลือดได้เพียงพอ
- น้ำหนักขึ้นผิดปกติโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง ที่อาจเป็นตัวบ่งชี้ถึงการสะสมของของเหลวเนื่องจากตับอาจทำงานได้ไม่เต็มที่
วิตามินที่ช่วยบำรุงตับ
วิตามิน E
วิตามิน E เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ตับจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ มีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบของตับและช่วยป้องกันโรคตับอักเสบ โดยวิตามิน E สามารถพบได้ในน้ำมันพืช ถั่ว เมล็ดพืช และผักใบเขียว
วิตามิน C
วิตามิน C มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและช่วยฟื้นฟูตับ ช่วยเพิ่มการผลิตกลูตาไธโอน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ตับผลิตขึ้นเองตามธรรมชาติ นอกจากนั้นวิตามิน C ยังมีส่วนช่วยในการกำจัดโลหะหนักออกจากร่างกาย โดยแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน C ได้แก่ ส้ม กีวี พริกหวาน บรอกโคลี และผลไม้ตระกูลเบอร์รี
วิตามิน B
วิตามิน B คอมเพล็กซ์ โดยเฉพาะวิตามิน B1, B6, B12 และโฟลิกแอซิด มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการทำงานของเอนไซม์ในตับ ทั้งยังช่วยในกระบวนการเผาผลาญและสร้างพลังงาน อีกทั้งวิตามิน B ยังช่วยฟื้นฟูเซลล์ตับที่ได้รับความเสียหาย สำหรับวิตามินบีจะพบได้ในเนื้อสัตว์ ไข่ ผลิตภัณฑ์จากนม ธัญพืชเต็มเมล็ด และผักใบเขียว
วิตามิน D
วิตามิน D มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบและช่วยป้องกันการเกิดพังผืดในตับ อีกทั้งการขาดวิตามิน D ยังมีความเชื่อมโยงกับโรคตับหลายชนิด รวมถึงโรคตับอักเสบและภาวะตับคั่งไขมัน หรือไขมันพอกตับ โดยที่ร่างกายมนุษย์นั้นสามารถสร้างวิตามิน D เองได้เมื่อผิวหนังสัมผัสกับแสงแดด นอกจากนี้ ยังสามารถพบวิตามิน D ได้ในปลาทะเลที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และน้ำมันตับปลาด้วยเช่นกัน
วิตามิน K
วิตามิน K มีความสำคัญในการสร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อการแข็งตัวของเลือด ซึ่งเป็นหนึ่งในหน้าที่สำคัญของตับ โดยแหล่งอาหารที่มีวิตามิน K สูง ได้แก่ ผักใบเขียว เช่น คะน้า ผักโขม และบรอกโคลี
เมื่อไรที่ควรเริ่มบำรุงตับด้วยวิตามิน ?
การบำรุงตับควรเริ่มต้นก่อนที่จะเกิดปัญหา เพราะหากปล่อยให้เกิดความเสียหายมากเกินไป การฟื้นฟูอาจต้องใช้เวลา และอาจนำไปสู่โรคตับที่รุนแรงได้
โดยควรเริ่มบำรุงตับด้วยวิตามิน เมื่อร่างกายเกิดภาวะเหล่านี้
- มีพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้ตับทำงานหนักเกินไป เช่น ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง หรือใช้ยาบางประเภทเป็นเวลานาน รวมถึงผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน
- เข้าสู่ช่วงวัยที่ตับต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ได้แก่ วัยกลางคนขึ้นไป (อายุ 40 ปีขึ้นไป) เนื่องจากประสิทธิภาพการทำงานของตับจะลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น
- หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นผู้ป่วยโรคตับ ควรให้ความสำคัญกับการบำรุงตับมากเป็นพิเศษ เพราะโรคตับบางชนิดถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้ และบางชนิดอาจเกิดจากพฤติกรรมเสี่ยงที่มีร่วมกันในครอบครัว
- หลังการเจ็บป่วยหรือการใช้ยาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะยาแก้ปวดหรือยาปฏิชีวนะ เนื่องจากยาหลายชนิดถูกเผาผลาญที่ตับและอาจส่งผลต่อการทำงานของตับได้
วิธีเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงตับที่มีประสิทธิภาพ
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงตับที่วางจำหน่ายในท้องตลาดมีอยู่หลากหลายชนิด ทำให้การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพอาจเป็นเรื่องสับสนสำหรับผู้บริโภค การตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์จึงควรพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ร่วมด้วย เช่น
ส่วนประกอบสำคัญที่ควรมีในผลิตภัณฑ์บำรุงตับ
ในการเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงตับ ควรพิจารณาส่วนประกอบสำคัญ เช่น วิตามิน E, C, B คอมเพล็กซ์ และสารสกัดจากพืชที่มีคุณสมบัติบำรุงตับ เช่น อาร์ทิโชก และขมิ้นชัน
ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการรับประทาน
ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการรับประทานขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ น้ำหนัก และสภาวะสุขภาพ โดยทั่วไปควรปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากผลิตภัณฑ์ หรือปรึกษาแพทย์สำหรับคำแนะนำเฉพาะบุคคล
พิจารณาผลิตภัณฑ์จากสารสกัดธรรมชาติเทียบกับสารสังเคราะห์
สารสกัดธรรมชาติมักมีข้อดีคือ ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้ดีกว่าสารสังเคราะห์ และมักมีผลข้างเคียงน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม บางครั้งสารสังเคราะห์อาจมีความเข้มข้นและประสิทธิภาพที่แน่นอนกว่า
ข้อควรระวังในการเลือกซื้อวิตามินบำรุงตับ
ข้อควรระวังในการเลือกซื้อวิตามินบำรุงตับ คือ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ทั้งยังต้องมีการระบุปริมาณสารสำคัญเอาไว้อย่างชัดเจน และควรตรวจสอบแหล่งผลิตว่ามีความน่าเชื่อถือ ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง
ดูแลตับด้วยการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพ ควบคู่กับการเสริมวิตามิน
- การรับประทานอาหารที่เป็นมิตรกับตับ
การรับประทานอาหารที่เป็นมิตรกับตับเป็นสิ่งสำคัญ ควรเน้นรับประทานผักและผลไม้สด รวมถึงธัญพืชเต็มเมล็ด โปรตีนคุณภาพดี และไขมันดีจากปลา ถั่ว และน้ำมันมะกอก พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารมัน และอาหารที่มีน้ำตาลสูง
- ออกกำลังกายที่เหมาะสมเพื่อสุขภาพตับที่ดี
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดไขมันในตับและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับได้ โดยแนะนำให้ออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือวันละ 30 นาที และเน้นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกหรือคาร์ดิโอ
- การหลีกเลี่ยงสารพิษและแอลกอฮอล์
ควรลดหรืองดการดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และระมัดระวังการใช้สารเคมีในชีวิตประจำวัน
- การพักผ่อนอย่างเพียงพอเพื่อฟื้นฟูตับ
การพักผ่อนอย่างเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ เพราะในช่วงเวลาที่ร่างกายพักผ่อน ตับจะทำการฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเอง จึงควรนอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อช่วยให้ตับฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่
การดูแลตับไม่ควรรอให้มีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เพราะเมื่อตับส่งสัญญาณเตือนแล้ว อาจหมายถึงความเสียหายที่ร่างกายกำลังเผชิญอยู่ อาหารเสริมบำรุงตับ Livplus พร้อมเป็นตัวช่วยให้ตับได้ฟื้นฟู ด้วยสารสกัดธรรมชาติคุณภาพสูงกว่า 12 ชนิด ที่ผ่านการวิจัยและพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพ ที่ทั้งช่วยบำรุงตับ กระตุ้นระบบขับถ่าย และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง เริ่มต้นดูแลตับของคุณได้แล้ววันนี้ สั่งซื้อผลิตภัณฑ์ได้ที่หน้าเว็บไซต์ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Livplusthailand และ Line OA: @Livplusthailand
ข้อมูลอ้างอิง
- เคล็ดไม่ลับ ดูแลตับให้แข็งแรง. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 จาก https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/liver-care