ปัญหาท้องผูกอาจดูเหมือนเรื่องเล็กที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันของหลายคน บางรายเพียงแค่รู้สึกแน่นท้อง ถ่ายยาก หรือเว้นช่วงการขับถ่ายไป 2–3 วัน ก็คิดว่าเป็นเพียงความผิดปกติชั่วคราว ไม่ได้ตั้งข้อสงสัยว่าท้องผูกบ่อยเป็นอะไรไหม แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่อุจจาระสะสมอยู่ในลำไส้เป็นเวลานาน ไม่เพียงส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร แต่ยังอาจลุกลามจนไปกระทบต่อสุขภาพของ “ตับ” ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่ขับสารพิษออกจากร่างกายอีกด้วย !
ท้องผูกบ่อยเป็นอะไรไหม ? ปัญหาระบบขับถ่ายที่ทุกคนต้องใส่ใจ
ภาวะท้องผูกเรื้อรัง (Chronic Constipation) หมายถึง ภาวะที่การขับถ่ายไม่เป็นปกติ เช่น อุจจาระแข็ง ถ่ายลำบาก อุจจาระไม่ออก 1 อาทิตย์หรือมีความถี่ในการถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งหากเกิดขึ้นบ่อยจนกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน อาจสะท้อนถึงปัญหาในระบบย่อยอาหาร หรือความผิดปกติในร่างกายที่ไม่ควรมองข้าม
หลายคนอาจสงสัยว่า ท้องผูกบ่อยเป็นอะไรไหม ? คำตอบคือ หากปล่อยไว้นาน ๆ ไม่เพียงแต่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคในระบบทางเดินอาหาร เช่น ริดสีดวงทวาร ลำไส้อุดตัน หรือมะเร็งลำไส้เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อระบบตับและการขจัดของเสียในร่างกายอีกด้วย !
ท้องผูกเรื้อรังกับความสัมพันธ์ต่อ “ตับ”
“ตับ” เป็นอวัยวะหลักในการกำจัดของเสียและสารพิษออกจากร่างกาย โดยมีหน้าที่สำคัญ คือ กรองของเสีย สังเคราะห์โปรตีน ช่วยย่อยไขมันผ่านน้ำดี และขับสารพิษออกทางลำไส้เล็กร่วมกับอุจจาระ เมื่อเกิดปัญหาในการขับถ่าย เช่น อุจจาระไม่ออก 1 อาทิตย์ หรือมีการสะสมของเสียในลำไส้ สารพิษเหล่านี้จะไม่ถูกขจัดออกตามธรรมชาติ แต่จะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่กระแสเลือด ส่งผลให้ตับต้องทำงานหนักขึ้นในการขับสารพิษซ้ำอีกครั้ง
ทั้งนี้ หากระบบขับถ่ายมีปัญหาเป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจส่งผลให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ ตับอักเสบ หรือเสี่ยงต่อโรคตับเรื้อรังในระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มที่รับประทานของมัน ของทอด ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือขาดการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง
อาการเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง
- อุจจาระไม่ออก 1 อาทิตย์ หรือขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์เป็นประจำ
- ต้องใช้แรงเบ่งมากขณะถ่าย
- อุจจาระแข็ง ก้อนเล็ก หรือแตกเป็นเม็ด
- รู้สึกถ่ายไม่สุด อาจเกิดจากยังมีอุจจาระค้างอยู่ในลำไส้
- ปวดท้อง แน่นท้อง หรือมีอาการท้องอืดเรื้อรัง
- มีอาการคลื่นไส้ อ่อนเพลีย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
สาเหตุของภาวะท้องผูกเรื้อรัง
- การรับประทานอาหารที่มีใยอาหาร (ไฟเบอร์) ต่ำ ดื่มน้ำน้อย หรือรับประทานอาหารแปรรูปเป็นประจำ
- ขาดการเคลื่อนไหวร่างกายหรือออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ความเครียดและภาวะวิตกกังวล ส่งผลต่อการบีบตัวของลำไส้โดยตรง
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวด ยาลดกรด ยาขับปัสสาวะ หรือยารักษาความดันโลหิต
- ความผิดปกติของลำไส้หรือระบบประสาทลำไส้ เช่น ลำไส้แปรปรวน (IBS) หรือลำไส้เคลื่อนไหวช้า (Slow-transit Constipation)
วิธีแก้ท้องผูกเรื้อรังอย่างปลอดภัยและยั่งยืน
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาวิธีแก้ท้องผูกเรื้อรังอย่างปลอดภัยและไม่ต้องพึ่งยาถ่ายทุกครั้ง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด
ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
เพิ่มผักสด ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และอาหารที่อุดมด้วยไฟเบอร์ให้มากขึ้น ควบคู่กับการดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 1.5-2 ลิตรต่อวัน หลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารหวาน และอาหารแปรรูป
กระตุ้นการขับถ่ายให้เป็นกิจวัตร
ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา เช่น ช่วงเช้าหลังตื่นนอน หรือหลังรับประทานอาหาร เนื่องจากเป็นช่วงที่ลำไส้ทำงานได้ดีที่สุด
ขยับร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
การเดิน วิ่ง หรือโยคะเบา ๆ จะช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ลดอาการท้องอืด และส่งเสริมระบบขับถ่ายให้ทำงานได้ดีขึ้น
ใช้อาหารเสริมเป็นตัวช่วย
สำหรับผู้ที่เริ่มมีปัญหาขับถ่ายเรื้อรัง การใช้อาหารเสริมที่อุดมด้วยใยอาหารธรรมชาติ สมุนไพร หรือสูตรบำรุงตับและลำไส้ อาจช่วยเสริมการทำงานของระบบขับถ่ายและลดภาระการทำงานของตับได้ดีขึ้น โดยควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีงานวิจัยรองรับ ปลอดภัย และไม่มีสารเคมีตกค้าง
แม้ท้องผูกจะดูเป็นเรื่องเล็ก แต่หากปล่อยไว้จนกลายเป็นภาวะเรื้อรัง อาจส่งผลเสียต่อตับได้ ซึ่งเป็นอวัยวะหลักในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย หากระบบขับถ่ายทำงานไม่ดี ตับก็ต้องทำงานหนักขึ้นเป็นเท่าตัว เสี่ยงต่อภาวะตับอักเสบ ไขมันพอกตับ หรือโรคตับเรื้อรังในระยะยาว
หนึ่งในวิธีที่ช่วยดูแลระบบทางเดินอาหารและลดภาระการทำงานของตับ คือ การรับประทานอาหารเสริมระบบทางเดินอาหารและตับอย่าง Livplus ที่มีสารสกัดจากธรรมชาติคุณภาพสูงกว่า 12 ชนิด เช่น อาร์ติโชก แดนดิไลออน เห็ดหลินจือ ฯลฯ ซึ่งช่วยฟื้นฟูระบบขับถ่าย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และดูแลการทำงานของตับอย่างครอบคลุม สั่งซื้อผลิตภัณฑ์ได้แล้ววันนี้ที่หน้าเว็บไซต์ หรือทักแชตมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Livplusthailand หรือ Line OA: @Livplusthailand
ข้อมูลอ้างอิง
- Constipation. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 จาก https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK513291/.