อาการตัวเหลือง ตาเหลือง หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า ‘ภาวะดีซ่าน’ (Jaundice) เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการทำงานของตับ แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่าอาการเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ควรละเลย เพราะหากยิ่งปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ภาวะตัวเหลือง ตาเหลือง คืออะไร ?
ภาวะดีซ่าน คือภาวะที่ผิวหนังและตาขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เกิดจากการที่มีสารบิลิรูบิน (Bilirubin) สะสมในเนื้อเยื่อมากเกินไป
บิลิรูบินคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร ?
บิลิรูบินเป็นสารสีเหลืองที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายทำลายเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ ซึ่งตามปกติแล้วตับจะทำหน้าที่กำจัดบิลิรูบินออกจากร่างกายด้วยวิธีเหล่านี้
- เปลี่ยนบิลิรูบินให้ละลายน้ำได้
- ส่งบิลิรูบินผ่านทางน้ำดีไปยังลำไส้
- ขับออกทางอุจจาระ (ทำให้อุจจาระมีสีเหลืองน้ำตาล)
แต่หากกระบวนข้างต้นเกิดความผิดปกติ บิลิรูบินจะเข้าไปสะสมในเลือดและเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดอาการตัวเหลือง ตาเหลือง
ซึ่งกลไกการเกิดภาวะตัวเหลือง ตาเหลือง มีดังนี้
- การผลิตบิลิรูบินมากเกินไป – เกิดจากการทำลายเม็ดเลือดแดงมากผิดปกติ
- การขับบิลิรูบินผิดปกติ – ตับไม่สามารถเปลี่ยนบิลิรูบินให้ละลายน้ำได้
- การอุดตันทางเดินน้ำดี – บิลิรูบินไม่สามารถผ่านจากตับไปยังลำไส้ได้
ภาวะตัวเหลือง ตาเหลืองเกิดจากอะไร ?
ภาวะตัวเหลือง ตาเหลือง มีสาเหตุมาจากหลายโรค รวมถึงความผิดปกติบางอย่างของร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับตับ ท่อน้ำดี หรือระบบเลือด
โรคตับชนิดต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดอาการตัวเหลือง
- ตับอักเสบจากไวรัส – เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดต่าง ๆ ทำให้เซลล์ตับถูกทำลาย
- ตับแข็ง – เนื้อตับถูกทำลายและเปลี่ยนเป็นพังผืด มักเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์เรื้อรัง ไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง หรือโรคตับไขมัน
- มะเร็งตับหรือท่อน้ำดี – เนื้องอกจากมะเร็งร้ายสามารถไปรบกวนการไหลเวียนของน้ำดีและการกำจัดบิลิรูบิน จึงส่งผลต่อการทำงานของตับโดยตรง ทำให้เกิดภาวะตัวเหลืองได้
ความผิดปกติของท่อน้ำดี
- นิ่วในถุงน้ำดี – ก้อนแข็งในถุงน้ำดีสามารถเคลื่อนไปอุดตันท่อน้ำดี
- การอุดตันของท่อน้ำดี – อาจเกิดจากพังผืด การอักเสบ หรือเนื้องอก
- โรคถุงน้ำดีอักเสบ – การอักเสบส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของน้ำดี
สาเหตุจากเลือด
- ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกง่าย – ทำให้เกิดการสร้างบิลิรูบินมากเกินไป
- การติดเชื้อในกระแสเลือดรุนแรง – ทำให้เกิดการทำลายเม็ดเลือดแดงมากขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างอาการท้องโตกับภาวะตับผิดปกติ
เมื่อมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง และท้องโต พร้อมกัน มักเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาตับที่รุนแรง โดยเฉพาะภาวะตับแข็งระยะท้าย
ซึ่งมีกลไกการเกิดที่สัมพันธ์กันดังนี้
- ภาวะท้องมาน (Ascites) – การสะสมของน้ำในช่องท้องทำให้ท้องโตขึ้น จนเกิดจากความดันในหลอดเลือดพอร์ทัลสูงและการผลิตโปรตีนอัลบูมินที่ลดลง ซึ่งเป็นผลมากจากตับทำงานผิดปกติ
- ความดันหลอดเลือดพอร์ทัลสูง – เมื่อตับแข็งหรือเกิดพังผืด เลือดไม่สามารถไหลผ่านตับได้ตามปกติ อาจทำให้เกิดความดันสูงในระบบหลอดเลือดพอร์ทัล ส่งผลให้น้ำรั่วออกมาสะสมในช่องท้อง
- ตับโต – ในบางกรณี ตับอาจขยายขนาดจากการอักเสบหรือมีเนื้องอก ซึ่งเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ท้องโต ร่วมกับการมีน้ำในช่องท้อง
อาการตัวเหลือง ตาเหลือง พุงโต ที่เกิดขึ้นพร้อมกันมักบ่งชี้ถึงโรคตับขั้นรุนแรงที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เช่น ตับแข็งระยะสุดท้าย มะเร็งตับที่ลุกลาม หรือตับอักเสบรุนแรง ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นภาวะที่คุกคามชีวิตได้
อาการและสัญญาณอันตรายที่ต้องเฝ้าระวัง
การสังเกตอาการของภาวะตัวเหลือง ตาเหลือง มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการตรวจวินิจฉัยและช่วยให้เข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที เพราะโดยทั่วไปผู้ป่วยมักมีอาการที่พัฒนาเป็นลำดับขั้น เริ่มจากอาการเบื้องต้นที่อาจไม่รุนแรง ไปจนถึงสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกถึงภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ ดังนี้
อาการแสดงร่วมที่บ่งบอกถึงความรุนแรง
- คัน – เกิดจากการสะสมของเกลือน้ำดีในผิวหนัง
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย – ร่างกายขาดพลังงานและประสิทธิภาพในการกำจัดสารพิษ
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด – ผลจากการสะสมสารพิษและระบบย่อยอาหารที่ผิดปกติ
- ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด – เกิดจากการขับบิลิรูบินทางไตและการขาดน้ำดีในลำไส้
สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
อาการบางอย่างเป็นสัญญาณเตือนว่าโรคได้ลุกลามถึงขั้นวิกฤตแล้ว หากพบอาการเหล่านี้ร่วมกับภาวะตัวเหลือง ตาเหลือง ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนที่สุด
- สับสน หลงลืม พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง – อาจเป็นสัญญาณของภาวะสมองผิดปกติจากตับ
- เลือดออกง่ายผิดปกติ – ตับไม่สามารถสร้างปัจจัยการแข็งตัวของเลือดได้
- ไข้สูงร่วมกับอาการตัวเหลือง – อาจเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินน้ำดี
- อาเจียนเป็นเลือด – ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงจากหลอดเลือดขอดในหลอดอาหาร
การป้องกันและดูแลตัวเองเมื่อมีความเสี่ยง
- การตรวจสุขภาพประจำปี – ตรวจเลือดเพื่อประเมินการทำงานของตับอย่างสม่ำเสมอ
- การรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ – เน้นผักใบเขียว ผลไม้สด ธัญพืชไม่ขัดสี ลดอาหารไขมันสูง
- หลีกเลี่ยงสารพิษและแอลกอฮอล์ – ลดหรืองดแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงสารเคมีอันตราย
- พักผ่อนอย่างเพียงพอ – การนอนหลับที่ดีจะช่วยให้ตับฟื้นฟูได้เร็วขึ้น
- รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ – เพื่อป้องกันโรคตับอักเสบเอและบี
ส่งเสริมคุณภาพตับ ด้วยสารอาหารและวิตามินที่ช่วยฟื้นฟูตับ
ภาวะตัวเหลือง ตาเหลือง เป็นสัญญาณอันตรายที่ไม่ควรละเลย หากคุณหรือคนใกล้ชิดกำลังเผชิญกับอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธี
Livplus ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมระบบทางเดินอาหารและตับคุณภาพสูง มีสารสกัดจากธรรมชาติกว่า 12 ชนิด พร้อมช่วยฟื้นฟูการทำงานของตับ กระตุ้นระบบขับถ่าย และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการดูแลสุขภาพตับของคุณ ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมหรือสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ได้ที่หน้าเว็บไซต์ หรือติดต่อสอบถามได้ที่ Facebook: Livplusthailand หรือ Line OA: @Livplusthailand
ข้อมูลอ้างอิง
- ตาเหลือง-ตัวเหลือง สัญญาณเสี่ยงมะเร็งตับ จริงหรือ. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 จาก https://www.hfocus.org/content/2020/10/20328