You are currently viewing ปวดตับตรงไหนอันตราย ? ชวนเช็กอาการไขมันพอกตับก่อนสายเกินไป

ปวดตับตรงไหนอันตราย ? ชวนเช็กอาการไขมันพอกตับก่อนสายเกินไป

เคยไหม ? อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกแน่นท้อง เจ็บชายโครงขวาแบบไม่ทราบสาเหตุ อาการเหล่านี้อาจไม่ใช่แค่เรื่องของระบบย่อยอาหาร แต่คือสัญญาณเตือนว่าตับของคุณกำลังทำงานหนักเกินไป และเสี่ยงต่อการเกิด “ภาวะไขมันพอกตับ” (Fatty Liver Disease)

ภาวะไขมันพอกตับ คืออะไร ?

ไขมันพอกตับ คือภาวะที่ร่างกายมีไขมันสะสมในเซลล์ตับมากเกินไป โดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) ซึ่งเกิดจากการรับประทานอาหารประเภทน้ำตาล แป้ง และไขมัน เมื่อร่างกายใช้พลังงานไม่หมด ไขมันส่วนเกินก็จะไปสะสมในตับจนเกิดเป็นภาวะไขมันพอกตับในที่สุด

ภาวะไขมันพอกตับสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

  • ไขมันพอกตับจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Alcoholic Fatty Liver Disease) เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
  • ไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (Non-Alcoholic Fatty Liver Disease) มีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารจำพวกอาหารมัน อาหารทอด อาหารหวาน หรืออาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงเกินไป 

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ

ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับได้ง่ายขึ้น คือ ภาวะอ้วน ภาวะน้ำหนักตัวเกิน เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง
รวมถึงภาวะต่าง ๆ ของตับเอง เช่น ไวรัสตับอักเสบ หรือการใช้ยาบางชนิดที่มีผลต่อตับ 

อย่างไรก็ตาม หากต้องการรู้ว่าตนเองมีความเสี่ยงเป็นภาวะไขมันพอกตับหรือไม่ สามารถเช็ได้จากปัจจัยต่อไปนี้

  • ผู้ชายมีรอบเอวมากกว่า 40 นิ้ว
  • ผู้หญิงมีรอบเอวมากกว่า 35 นิ้ว
  • มีน้ำตาลในเลือดซึ่งสูงมากกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
  • มีไขมันไตรกลีเซอไรด์มากกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
  • มีไขมันชนิดดีหรือ HDL Cholesterol ต่ำ (โดยปกติแล้ว ค่า HDL cholesterol ยิ่งสูงยิ่งดี ในผู้ชายควรมีค่า HDL Cholesterol มากกว่า 40 มิลลิกรัม/เดซิลิตร และในผู้หญิงมากกว่า 50 มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
  • มีความดันโลหิตสูง นอกจากจะเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดแล้ว ยังเป็นตัวกระตุ้นให้มีไขมันพอกตับมากขึ้นอีกด้วย

ปวดตับตรงไหนถือว่าเสี่ยงไขมันพอกตับ ? 

หลายคนอาจไม่รู้ว่าตับอยู่บริเวณชายโครงขวาของร่างกาย ดังนั้น หากรู้สึกเจ็บชายโครงขวา แน่นท้อง หรือจุกแน่นบริเวณนี้เป็นประจำ อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของปัญหาเกี่ยวกับตับ โดยสามารถทดสอบได้โดยการใช้มือสัมผัสบริเวณชายโครงขวาใต้ซี่โครง หากรู้สึกเจ็บ กดแล้วตึง หรือแน่นผิดปกติ ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจตับทันที

ปวดตับ อาการเป็นอย่างไร ?

  • รู้สึกเจ็บหรือแน่นชายโครงขวา โดยเฉพาะเวลานั่งหรือหายใจลึก
  • จุกแน่นท้อง ท้องอืดง่าย
  • อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
  • เบื่ออาหาร หรือรู้สึกอิ่มเร็ว
  • คลื่นไส้ หรือรู้สึกไม่สบายท้องหลังรับประทานอาหารมัน
  • ในบางรายอาจมีตาเหลือง หรือผิวเหลือง หากตับเริ่มทำงานผิดปกติ

ภาวะไขมันพอกตับมีกี่ระยะ ?

ภาวะไขมันพอกตับสามารถแบ่งระยะความรุนแรงได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้

  • ระยะแรก เป็นระยะที่มีไขมันสะสมอยู่ในเนื้อตับ แต่ยังไม่มีการอักเสบหรือพังผืดเกิดขึ้นในตับ ซึ่งยังไม่รุนแรงมาก
  • ระยะที่สอง เป็นระยะที่เริ่มมีอาการอักเสบของตับ ในระยะนี้หากไม่ควบคุมดูแลให้ดี และปล่อยให้การอักเสบดำเนินไปเรื่อย ๆ เกิน 6 เดือน อาจกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง
  • ระยะที่สาม การอักเสบรุนแรง ก่อให้เกิดพังผืดในตับ เซลล์ตับค่อย ๆ ถูกทำลายลง
  • ระยะที่สี่ เซลล์ตับถูกทำลายไปมาก ตับไม่สามารถทำงานได้ตามปกติอีกต่อไป จึงทำให้ตับแข็ง และกลายเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด เมื่อเข้าสู่ระยะนี้แล้วจะไม่สามารถรักษาได้ ทำได้เพียงควบคุมอาการและดูแลสุขภาพ เท่านั้น

วิธีดูแลตับให้แข็งแรง ป้องกันภาวะไขมันพอกตับ

แม้ภาวะไขมันพอกตับจะเป็นภัยเงียบที่ไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่ก็สามารถป้องกันได้ด้วยการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เพราะตับเป็นอวัยวะที่สามารถฟื้นตัวได้หากได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี โดยเราขอแนะนำให้เริ่มต้นจาก 5 วิธีง่าย ๆ เหล่านี้

1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงของทอดและอาหารมัน

ลดอาหารที่ผ่านการทอด น้ำมันเยอะ หรือมีไขมันทรานส์สูง เช่น ของทอด ขนมขบเคี้ยว หรืออาหารฟาสต์ฟูด เพราะจะเพิ่มการสะสมของไขมันในตับ ควรเน้นอาหารต้ม นึ่ง ย่าง และเพิ่มผักผลไม้ในแต่ละมื้อเพื่อช่วยให้ตับไม่ทำงานหนักเกินไป

2. ลดน้ำตาลและแป้งขัดสี

น้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว หรือเครื่องดื่มหวาน เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้นในเลือด การลดปริมาณน้ำตาลจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น และลดโอกาสเกิดไขมันพอกตับ

3. งดหรือจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์

แอลกอฮอล์เป็นหนึ่งในตัวการทำลายเซลล์ตับโดยตรง การดื่มเป็นประจำจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดตับอักเสบและตับแข็ง หากหลีกเลี่ยงได้ ควรงดดื่ม หรืออย่างน้อยจำกัดปริมาณให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้

4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์

การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันและน้ำตาลในเลือด ทำให้ไขมันไม่ถูกสะสมในตับมากเกินไป แต่ไม่จำเป็นต้องออกแรงหนัก แค่เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยานอย่างต่อเนื่องวันละ 30 นาที ก็เพียงพอที่จะช่วยดูแลสุขภาพตับได้

5. ตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ

การตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะการตรวจค่าเอนไซม์ตับ (SGOT, SGPT) จะช่วยให้รู้ถึงความผิดปกติของตับตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ยิ่งตรวจพบเร็ว ยิ่งมีโอกาสฟื้นฟูตับให้กลับมาแข็งแรงได้ง่ายขึ้น

สุขภาพตับที่ดี เริ่มต้นได้ที่การดูแลตัวเองด้วย Livplus

ตับคืออวัยวะที่ทำงานหนักที่สุดในร่างกาย ทั้งกำจัดสารพิษ ย่อยไขมัน และผลิตพลังงาน หากปล่อยให้ตับอ่อนล้าโดยไม่ดูแล อาการอย่าง แน่นท้อง เจ็บชายโครงขวา หรือปวดตับ อาจกลายเป็นสัญญาณเตือนของภาวะร้ายแรงที่ยากจะย้อนกลับได้

Livplus อาหารเสริมบำรุงตับจากสารสกัดธรรมชาติ 100% ได้รับการคิดค้นและพัฒนาโดยอิงงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วยฟื้นฟู ปกป้อง และขับพิษ ให้ตับกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมยับยั้งต้นเหตุของภาวะไขมันพอกตับตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ปรึกษาฟรี ! โทร. เลย 098-264-2464 หรือทักหาเราได้ที่ Facebook: Livplusthailand หรือ Line OA: @Livplusthailand

ข้อมูลอ้างอิง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะไขมันพอกตับ

ภาวะไขมันพอกตับสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ไหม ?

สามารถเป็นซ้ำได้ หากยังคงมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น รับประทานอาหารมันหรือหวานเกินไป ดื่มแอลกอฮอล์ หรือไม่ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง 

ภาวะไขมันพอกตับสามารถเกิดขึ้นได้กับคนผอมไหม ?

หลายคนเข้าใจผิดว่าโรคนี้เกิดเฉพาะในคนอ้วน แต่ในความจริง คนผอมก็สามารถเป็นภาวะไขมันพอกตับได้ โดยเฉพาะผู้ที่รับประทานอาหารไม่สมดุล เช่น ชอบอาหารแปรรูป เครื่องดื่มหวาน หรือมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน 

ภาวะไขมันพอกตับส่งผลต่ออารมณ์หรือสุขภาพจิตหรือไม่ ?

แม้จะเป็นโรคที่เกี่ยวกับตับ แต่การทำงานของตับมีความสัมพันธ์กับระบบประสาทและสมองโดยตรง เมื่อตับทำงานผิดปกติ ร่างกายจะสะสมของเสียและสารพิษมากขึ้น ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย หรือมีภาวะอารมณ์แปรปรวน ดังนั้น การดูแลตับให้แข็งแรงจึงช่วยส่งผลดีต่อทั้งร่างกายและจิตใจในระยะยาว

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือโทรสั่งซื้อสินค้า

ใส่ความเห็น